พระพุทธรำพึง

หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในสัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ ทรงพุทธรำพึง ว่า “ธรรมที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่ง ตรรก คือคิดเอาเองไม่ได้ หรือ ไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้



อนึ่งเล่า สัตว์ทั้งหลายส่วนมาก ยินดีในความอาลัย คือ กามคุณ สัตว์ผู้เห็นปานนั้น ยากนักที่จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท และ พระนิพพาน ซึ่งมีสภาพ บอกคืนกิเลสทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์ ตถาคตจะพึงแสดงธรรม หรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้ว คนอื่นรู้ตามไม่ได้ ตถาคตก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่าเลย อย่าประกาศธรรมที่ตถาคตได้บรรลุแล้วเลย ธรรมนี้ อันบุคคล ผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย บุคคลที่ ยังยินดี พอใจให้กิเลสย้อมจิต ถูกความมืด คือกิเลสหุ้มห่อแล้ว จะไม่สามารถเห็นได้ ซึ่งธรรมที่ทวนกระแสจิต อันละเอียด ประณีต ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้”



วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

จิต ๑๒๑: กามาวจรจิต ๕๔: อกุสลจิต ๑๒


จิต ๑๒๑ ประกอบด้วย กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ โลกุตตรจิต ๔๐

กามาวจรจิต ๕๔ ประกอบด้วย อกุสลจิต ๑๒ อเหตุกจิต ๑๘ กามาวจรโสภณจิต ๒๔

อกุสลจิต ๑๒ ประกอบด้วย โลภะมูลจิต ๘ โทสะมูลจิต ๒ โมหะมูลจิต ๒

โลภมูลจิต ๘
๑. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๑๙: อัญญสมานเจตสิก ๑๓ โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑
๒. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะสัมปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๒๑: อัญญสมานเจตสิก ๑๓ โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑ ถีทุกะเจตสิก ๒
๓. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะวิปปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๑๙: อัญญสมานเจตสิก ๑๓ โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ มานะเจตสิก ๑
๔. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะวิปปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๒๑: อัญญสมานเจตสิก ๑๓ โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ มานะเจตสิก ๑ ถีทุกะเจตสิก ๒
๕. อุเปกขาสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๑๘: อัญญสมานเจตสิก ๑๒ (เว้น ปีติเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑
๖. อุเปกขาสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะสัมปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๒๐: อัญญสมานเจตสิก ๑๒ (เว้น ปีติเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑ ถีทุกะเจตสิก ๒
๗. อุเปกขาสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะวิปปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๑๘: อัญญสมานเจตสิก ๑๒ (เว้น ปีติเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ มานะเจตสิก ๑
๘. อุเปกขาสะหะคะตัง ทิฏฐิคะตะวิปปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โลภะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๒๐: อัญญสมานเจตสิก ๑๒ (เว้น ปีติเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ โลภะเจตสิก ๑ มานะเจตสิก ๑ ถีทุกะเจตสิก ๒

สรุปเจตสิกที่ทำงานกับ โลภมูลจิต ๘

โทสะมูลจิต ๒
๑. โทมะนัสสะสะหะคะตัง ปฏิฆะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โทสะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๒๐: อัญญสมานเจตสิก ๑๒ (เว้น ปีติเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ โทจตุกะเจตสิก ๔
๒. โทมะนัสสะสะหะคะตัง ปฏิฆะสัมปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โทสะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๒๐: อัญญสมานเจตสิก ๑๒ (เว้น ปีติเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ โทจตุกะเจตสิก ๔ถีทุกะเจตสิก ๒

สรุปเจตสิกที่ทำงานกับ โทสะมูลจิต ๒


โมหะมูลจิต ๒
๑. อุเปกขาสะหะคะตัง วิจิกิจฉาสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โมหะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๑๕: อัญญสมานเจตสิก ๑๐ (เว้นอธิโมกข์เจตสิก ปีติเจตสิก ฉันทะเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔ วิจิกิจฉาเจตสิก ๑
๒. อุเปกขาสะหะคะตัง อุทธัจจะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ อะกุสะละ โมหะมูละจิตตัง
     เจตสิก ๑๕: อัญญสมานเจตสิก ๑๑ (เว้น ปีติเจตสิก ฉันทะเจตสิก) โมจตุกะเจตสิก ๔

สรุปเจตสิกที่ทำงานกับ โมหะมูลจิต ๒