พระพุทธรำพึง

หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในสัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ ทรงพุทธรำพึง ว่า “ธรรมที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่ง ตรรก คือคิดเอาเองไม่ได้ หรือ ไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้



อนึ่งเล่า สัตว์ทั้งหลายส่วนมาก ยินดีในความอาลัย คือ กามคุณ สัตว์ผู้เห็นปานนั้น ยากนักที่จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท และ พระนิพพาน ซึ่งมีสภาพ บอกคืนกิเลสทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์ ตถาคตจะพึงแสดงธรรม หรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้ว คนอื่นรู้ตามไม่ได้ ตถาคตก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่าเลย อย่าประกาศธรรมที่ตถาคตได้บรรลุแล้วเลย ธรรมนี้ อันบุคคล ผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย บุคคลที่ ยังยินดี พอใจให้กิเลสย้อมจิต ถูกความมืด คือกิเลสหุ้มห่อแล้ว จะไม่สามารถเห็นได้ ซึ่งธรรมที่ทวนกระแสจิต อันละเอียด ประณีต ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้”



วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ญาณสัมปยุตมหากุสลจิต ๔

ญาณสัมปยุตมหากุสลจิต ๔ ได้แก่จิตที่อยู่ใน กามาวจรมหากุสลจิต ๘ ในส่วนที่เป็น ญาณะสัมปะยุต ซึ่งมีทั้งหมด ๔ จิต ได้แก่

๑. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๒. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๓. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะวิปปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๔. โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะวิปปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๕. อุเปกขาสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๖. อุเปกขาสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๗. อุเปกขาสะหะคะตัง ญาณะวิปปะยุตตัง อะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง
๘. อุเปกขาสะหะคะตัง ญาณะวิปปะยุตตัง สะสังขาริกัง กามาวะจะระ มะหากุสะละจิตตัง

บทความพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
- กามาวจรโสภณจิต ๒๔