พระพุทธรำพึง

หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในสัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ ทรงพุทธรำพึง ว่า “ธรรมที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่ง ตรรก คือคิดเอาเองไม่ได้ หรือ ไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่บัณฑิตพอจะรู้ได้



อนึ่งเล่า สัตว์ทั้งหลายส่วนมาก ยินดีในความอาลัย คือ กามคุณ สัตว์ผู้เห็นปานนั้น ยากนักที่จะเห็น ปฏิจจสมุปบาท และ พระนิพพาน ซึ่งมีสภาพ บอกคืนกิเลสทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์ ตถาคตจะพึงแสดงธรรม หรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้ว คนอื่นรู้ตามไม่ได้ ตถาคตก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่าเลย อย่าประกาศธรรมที่ตถาคตได้บรรลุแล้วเลย ธรรมนี้ อันบุคคล ผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย บุคคลที่ ยังยินดี พอใจให้กิเลสย้อมจิต ถูกความมืด คือกิเลสหุ้มห่อแล้ว จะไม่สามารถเห็นได้ ซึ่งธรรมที่ทวนกระแสจิต อันละเอียด ประณีต ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้”



วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

เส้นผม

ขน, ผิวหนัง

เล็บ

 
ฟัน

   ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า “นี่ เกสา” จะเห็นว่าพอบอก “เกสา” บรรลุธรรม เพราะ “เกสา” เป็น “พระพุทธเจ้า” เพราะ “พระพุทธเจ้า” ทรงสอน

   ฉะนั้น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรายังเข้าใจว่าเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอามานึกเห็นผมหงอก ผมดำ ผมไม่มี ผมหาย ล้วนเป็นภาษาโลกไม่ใช่คำสอนพระพุทธองค์

   ในพระพุทธศาสนา “เกสา” เบื้องต้นมี “รูป ๔๔” โลมา เบื้องต้นมี “รูป ๔๔” นขา เบื้องต้นมี “รูป ๔๔” ทันตา เบื้องต้นมี “รูป ๔๔” ตโจ เบื้องต้นมี “รูป ๔๔”

   “เกสา” มี “รูป ๔๔” แล้วใครมองเห็น “เกสามี (รูป) ๔๔” บ้าง พระพุทธองค์บอกว่า (เกสา) มีรูป ๔๔ “เกสา ๔๔” แล้วเราเห็น “เกสา” แค่ผมดำ ผมขาว ใครจะไปมองออก นักวิทยาศาสตร์ก็มองไม่เห็น นักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นว่า “เกสา” ของเรานี้มีอะไรบ้าง นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นได้แค่ DNA (ดี เอ็น เอ) กับ RNA (อาร์ เอ็น เอ) ไปไม่ถึง แต่ “พระพุทธเจ้า” จับผมมาเส้นหนึ่งปรากฏว่า

   - ใน “เกสา ๔๔” มี “กายทสกกลาป ๑๐

   - ใน “เกสา” ยังมี “ภาวทสกกลาป” อีก ๑๐ เป็นเรื่องของ เพศหญิง เพศชาย

   - ใน “ผมเรา” ยังมี “จิตตสุทธัฏฐกกลาป” อีก ๘

   - ใน “เกสา” ยังมี “อุตุสุทธัฏฐกกลาป” อีก ๘

   - ใน “เกสา” ยังมี “อาหารสุทธัฏฐกกลาป” อีก ๘

   ฉะนั้นเราก็เลยไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ใน ๘ เรายังไม่รู้ พระพุทธเจ้ายังแยกใน ๘ อีก ยังประกอบด้วย ปฐวี อาโป เตโช วาโย รูปวิสยรูป คันธวิสยรูป รสวิสยรูป อาหารรูป ในแต่ละอย่างก็มีเหมือนกันหมดอย่างนี้ ที่เวลาให้ “มูลกรรมฐาน” แล้วพระผู้บวชไม่บรรลุธรรมก็เพราะว่า “เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา” รู้แค่นี้ ก็เป็นเพียงภาษาโลก ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารไม่ใช่สิ่งที่สอนในพระพุทธศาสนา

   เราเข้าใจผิดทุกอย่าง ในทางโลกที่ว่าอะไรใช่ เมื่อไปถึงพระพุทธองค์แล้วนี้ แล้วใครจะแยกได้ว่า “ผม” นี้สร้างมาจาก “จิตในอดีต” จะเห็นว่าไม่มีใครพบได้นอกจาก “พระพุทธองค์” นักวิทยาศาสตร์ค้นไปเถอะ ให้ค้นตายแล้วตายอีก นักวิทยาศาสตร์ ค้นไปถึง RNA, DNA ก็เป็นภาษาโลก ค้นไปค้นมาได้ “อกุสล” เพราะไม่รู้ แล้วใครจะรู้ว่าเส้นผมเส้นหนึ่งประกอบด้วย “รูป ๔๔” นี้ แล้วถ้าทั้งเส้นจะขนาดไหน นี่แค่จุดเดียวจุดที่มองไม่เห็น เรียกว่า “จุดปรมัตถ” นี้ ถ้า “เกสา” เรียกว่า ปกติ หรือ สมมติ คนทั่วโลก ชาวมคธ เรียกว่า “เกสา” ภาษาอังกฤษเรียกว่า hair (อ่านว่า แฮร์) เขาก็รู้แค่ hair ก็ถูกทั้งหมดทุกชาติทุกภาษาที่ “เรียกผม” นี้ ของไทยเรียกว่า “ผม” ฉะนั้น อะไรก็ได้ถ้าเราไม่รู้คำสอนพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันหมด ไม่ต้องมาศึกษาพระพุทธศาสนา ทุกคนก็รู้ว่า “เกสา คือ ผม” เหมือนกันหมด

บทความที่เกี่ยวข้อง

"แม้ธรรมบทใดๆก็ตามหากยึดคำแปลอยู่เช่นนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ลงนรกขุม ๗ เพราะเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ต้องศึกษาให้ลุ่มลึกตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรื่อยจนกว่าจะบรรลุอรหัตตผล หากการขยายข้อธรรมใดขัดแย้งต่อ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่เป็นปรมัตถธรรม ให้ยึด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่เป็นปรมัตถธรรม เป็นหลักเท่านั้น"

๒๕๕๒๐๑๑๗๑๘๐๔๒๐๔๓